วันพุธที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2552

บทเรียนภาษาอังกฤษรายวัน

บทเรียน ภาษาอังกฤษ รายวัน
สวัสดีครับ ลิงค์ข้างล่างนี้มีลักษณะเป็น “บทเรียนภาษาอังกฤษรายวัน” หรือ “Daily English Lesson” คือจัดกิจกรรมการฝึกฝนภาษาอังกฤษเป็นชุดสำเร็จรูป ให้แก่คนที่งานยุ่ง แต่ก็ไม่อยากทิ้งภาษาอังกฤษ บทเรียนเหล่านี้ มักมีทั้ง listening reading vocabulary ส่วน grammar ก็ปน ๆ กันไปผมหามาได้ 3 เว็บครับ คือ

เว็บที่ 1: Englishtown.comhttp://www.englishtown.com/master/mail/landing/ee2_webv1.aspเมื่อท่านคลิกเข้าไปแล้ว มีกิจกรรมให้ท่านทำ 3 กิจกรรม คือกิจกรรมที่ 1. ใต้หัวข้อ ‘ฟังและอ่าน’ ให้ท่านคลิก ‘ไปที่บทเรียน’ รอสักนิดให้เว็บดาวน์โหลดไฟล์เสียง แล้วคลิกที่ปุ่ม Play (รูปเครื่องหมายสามเหลี่ยม), ในจอจะปรากฏข้อความของเสียงที่ท่านได้ยิน พร้อมคำแปลภาษาไทย, ถ้าฟังไม่ค่อยทันอาจจะคลิกปุ่ม Pause หรือจะฟังซ้ำหลาย ๆ ครั้งก็ตามสะดวกครับ- ข้างล่างจอนี้มี ‘เรียนศัพท์สำคัญประจำวันนี้’ 2 คำให้ท่านศึกษา ซึ่งท่านสามารถคลิกฟังคำอ่าน และอ่านคำแปลเป็นภาษาอังกฤษได้กิจกรรมที่ 2. เมื่อจบกิจกรรม ‘ฟังและอ่าน’ แล้วให้คลิก Back เพื่อทำแบบทดสอบ 1 ข้อ ใต้หัวข้อ ‘แบบทดสอบมินิ’กิจกรรมที่ 3. เลื่อนลงไปหน่อยใต้หัวข้อ ‘การ์ตูนภาษาอังกฤษ’ มีการ์ตูน 1 ภาพพร้อมคำบรรยายใต้ภาพ ลองอ่านดูนะครับ รู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่อวบ้างก็ไม่เป็นไร เพราะคนเขียนการ์ตูนเป็นฝรั่ง senseของเขาอาจจะไม่ค่อยตรงกับคนไทย และที่คำอธิบายใต้ภาพก็มีศัพท์ให้เราศึกษาอีก 2 คำ พร้อมคำแปลภาษาไทยคลิกไปที่นี่ เพื่อศึกษาบทเรียนวันก่อน ๆhttp://www.englishtown.com/master/sitemap/lessonarchive.asp?page=1

เว็บที่ 2: http://www.englishbaby.com/เมื่อเข้าไปแล้ว 1.ให้คลิกที่ แถบ TODAY’S ENFLISH LESSON จะนำไปสู่บทเรียน2. อ่าน Intro เพื่อทำความเข้าใจเนื้อเรื่องเป็นเบื้องต้นซะก่อน,3. คลิก Listen เพื่อฟัง ซึ่งเราจะฟังอย่างเดียว หรือจะฟังพร้อม ๆ กับอ่าน script ใต้ Dialogue ก็ได้4. ถ้าเอาเมาส์ไปวางที่คำซึ่งขีดเส้นใต้ ก็จะปรากฏคำแปล5. ฟังเสร็จแล้ว ก็จะมีกิจกรรมให้ทำ คือ Discussion, Vocab Quiz(ต้อง สมัครเป็นสมาชิกก่อน) และ Quiz 6. ท่านสามารถทำบทเรียนอื่น ๆ ได้ที่ MORE ENGLISH LESSONS

เว็บที่ 3: http://www.breakingnewsenglish.com/เมื่อคลิกเลือกวันที่ต้องการฟังข่าวแล้ว ให้คลิก Listening และทำกิจกรรมที่เขาแนะInterelaDSD
บทความของคุณพิพัฒน์
เขียนโดย pipat - blog writer ที่ 23:55 น.

บทเรียนภาษาอังกฤษในรายการ Happy English

มาโหลดอ่าน Happy English กันดีกว่าครับ
http://tutoronline.co.th/HappyEnglish.php

วันอังคารที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2552

นอม ชอมสกีที่คนไทยควรรู้จัก

มาศึกษาประวัติของบุคคลสำคัญทางภาษาศาสตร์กันอีกครั้งคครับ กับนอม ชอมสกี้
http://www.buddhadasa.org/html/articles/6_proverb/wusrw-noam.html

ประวัติและแนวคิดพื้นฐานทางภาษาศาสตร์ของ นอม ชอมสกี้

ประวัติและแนวคิดพื้นฐานทางภาษาศาสตร์ของ นอม ชอมสกี้
ประวัติโดยย่อ
นอม ชอมสกี้ เกิดที่เมืองฟิลาเดลเฟีย มลรัฐแพนซิลเวเนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ในปี 1928 และสำเร็จการศึกษาขั้นสูงสุดในระดับปริญญาเอกสาขาวิชาภาษาศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยแพนซิลเวเนีย ในปี 1955 งานวิจัยที่ผลักดันให้เขาสำเร็จการศึกษาส่วนใหญ่มาจากการที่ได้เป็นสมาชิกในกลุ่มนักวิจัยของมหาวิทยาลัยฮาวาร์ต ระหว่างปี 1951-1955 หลังจากสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยแพนซิลเวเนีย ชอมสกี้ได้เข้าสอนในภาควิชาภาษาและภาษาศาสตร์ (ปัจจุบันคือภาควิชาภาษาศาสตร์และปรัชญา) ของสถาบันเทคโลยีแห่งแมชชาชูเซส (MIT) สหรัฐอเมริกาในปี 1961 เขาได้รับตำแหน่งเป็นศาสตราจารย์ทางด้านภาษาศาสตร์และจากนั้นในปี 1976 เขาได้รับเกียรติให้เป็นศาสตราจารย์เกียรติคุณผู้สร้างชื่อเสียงให้แก่ทางสถาบัน งานวิจัยทางภาษาศาสตร์และทฤษฎีในเรื่องความสามารถและการทำงานของสมองของชอมสกี้ เป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางในทางวิชาการว่าเป็นวิวัฒนาการทางภาษาศาสตร์ ที่นำไปสู่ทฤษฎีใหม่ๆ ที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งยวดต่อวงการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทฤษฎีของการค้นพบระบบในภาษาที่มีชื่อว่า ไวยากรณ์ปริวรรตเพิ่มพูน(Tranformational-generative Grammar) ซึ่งเป็นการพัฒนามาจากความสนใจทางด้านตรรกวิทยา และคณิตศาสตร์ที่เขาสนใจ ด้วยแนวคิดทั้งหลายของเขาได้นำไปสู่ทฤษฎีที่สำคัญอย่างหนึ่งซึ่งอธิบายปรากฎการณ์ทางภาษา การรับรู้เข้าใจ และการได้มาของภาษาในมนุษย์ในเวลาต่อมา

แนวคิดพื้นฐานทางภาษาศาสตร์

ชอมสกี้ ได้พยายามแสดงแนวคิดในการอธิบายภาษามนุษย์ โดยการนำเสนอทฤษฏีไวยกรณ์ปริวรรตเพิ่มพูน (Transformational-Generative Grammar) ซึ่งแสดงให้รู้ถึงการที่เจ้าของภาษาหนึ่งๆจะเข้าใจระบบไวยกรณ์ในการใช้ภาษาจริงๆในชีวิตประจำวัน โดยที่เขาชี้ให้เห็นว่าเจ้าของภาษานั้นๆจะสามารถสร้างประโยคในภาษาได้อย่างไม่จำกัดหรือไม่รู้จบโดยอาศัยกฎของภาษาในจำนวนที่จำกัด และความสามารถนี้เป็นสิ่งที่กล่าวได้ว่าเป็นตัวนำผู้ที่เกิดและเติมโตมาพร้อมกับภาษานั้นให้กลายเป็นผู้ใช้ภาษาที่สมบูรณ์แบบ (Native Speaker) ที่เป็นเช่นนี้ สืบผลเนื่องมาจากการทำงานอันทรงประสิทธิภาพของสมองมนุษย์ซึ่งถ้าว่าไปแล้วอาจมีข้อจำกัดในการเรียนรู้ที่แตกต่างกันไปบ้าง แต่ในเรื่องของการแสดงออกทางภาษาแล้วนั้น มนุษย์ที่มีสติปัญญาสมประกอบย่อมสามารถสร้างและเข้าใจประโยคในภาษาของตนเองที่ยาวและยากอย่างไม่มีปัญหา ในปี 1960 ชอมสกี้ได้เสนอความคิดหลักที่สำคัญนี้ในการอธิบายภาษามนุษย์ ดังนี้
1. ความรู้ในภาษา (Competence) และการใช้ภาษา(Performance)
ความรู้ในภาษานี้หมายถึงการที่เจ้าของภาษาหนึ่งๆจะรู้อย่างเป็นอัตโนมัติในไวยกรณ์ภาษาของตัวเองโดยไม่ได้ผ่านการเรียนอย่างเป็นทางการ โดยความรู้นี้คือความสามารถในการตัดสินความถูกผิดของภาษาในประโยคถึงแม้ว่าจะไม่เคยได้ยินประโยคนั้นมาก่อนก็ตาม เช่นคนไทยเรารู้ได้ทันทีว่า “เขาพวกเห็นควายอันหนึ่ง” เป็นประโยคที่ผิด หรือคนอังกฤษจะรู้ได้ทันทีว่า “I want to see him”นั้นถูกต้อง แต่ประโยคที่ว่า “I want to seeing him” นั้นผิดถึงแม้ว่าทุกคำที่ใช้ในประโยคนี้จะเป็นคำที่มีใช้ในภาษาอังกฤษก็ตามในทางกลับกัน การใช้ภาษานั้นคือความสามารถจริงๆของเจ้าของภาษาในการถ่ายทอดความให้เกิดความหมายเข้าใจได้ โดยทั้งนี้ทั้งนั้นการใช้ภาษาจะไม่สมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นถึงแม้เจ้าของภาษาจะรู้กฎทางภาษาที่ถูกหรือผิดก็ตาม เพราะความผิดพลาดนี้อาจขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น การพูดผิด หรือพูดไม่จบประโยคเพราะ เหนื่อย ตื่นเต้น ตกใจ เบื่อไม่สนใจ เป็นต้น ดังนั้นอาจสรุปได้ว่าการใช้ภาษาเป็นรูปธรรมที่เราเห็นได้ และความรู้ความเช้าใจภาษาเป็นนามธรรมที่อยู่ในตัวผู้ใช้ภาษาที่มองไม่เห็นนั้นเอง
2. โครงสร้างลึก(Deep structure) และโครงสร้างผิว(Surface structure)
โครงสร้างลึกคือความคิดหรือความหมายจริงๆที่อยู่ในหัวสมองของผู้พูดภาษา ส่วนโครงสร้างผิวนั้นคือสิ่งที่ผู้พูดพูดหรือเขียนออกมาซึ่งมีรูปเดียวกัน ถึงแม้ความหมายจากโครงสร้างลึกมีมากกว่า ยกตัวอย่างเช่น การที่เจ้าของภาษาพูดว่า “The parents of John and Marry are waiting” ประโยคนี้มีโครงสร้างผิวที่เหมือนกัน (ตามรูปประโยค) แต่จริงๆแล้วประโยคนี้อาจมีสองความหมาย คือ พ่อแม่ทั้งของจอห์นและแมรี่กำลังคอย หรืออาจหมายถึงว่าพ่อแม่ของจอห์นและตัวแมรี่เองกำลังคอย โดยเราจะเห็นได้ว่าความหมายที่เราเห็นเป็นสองอย่างนี้มาจากโครงสร้างลึกในภาษานั้นเอง ความคิดหลักๆเหล่านี้ได้ชี้ให้เราได้เห็นภาพของทฤษฎีไวยากรณ์ปริวรรตเพิ่มพูนซึ่งแสดงให้เห็นถึงรูปแบบและกระบวนการความสามารถของมนุษย์ในการผลิดและเข้าใจภาษาที่ใช้เพื่อการสื่อสาร อย่างไรก็ตาม ทฤษฏีไวยากรณ์เพิ่มพูนนี้หาได้เป็นสิ่งเดียวที่อธิบายปรากฎการณ์ทางการรู้และใช้ภาษาของมนุษย์ไม่ เพราะสิ่งสำคัญที่สุดที่ชอมสกี้ได้นำเสนอก็คือ ความมหัศจรรย์ของสมองที่ให้ความรู้ภาษาติดตัวมนุษย์มาตั้งแต่กำเนิด นั้นคือ การที่คนเราเมื่อแรกเกิดเป็นทารกนั้นได้มีคลังความรู้ทางไวยกรณ์ในภาษารอพร้อมอยู่แล้ว สิ่งที่มนุษย์ต้องการเป็นสิ่งรองก็คือ การได้มีโอกาสในการได้ยิน และมีปฎิสัมพันธ์กับคนอื่นๆในสังคมเดียวกันเพื่อให้ความสามารถทางภาษาที่ติดตัวมานี้ได้ทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ ทฤษฎีการรู้ภาษาของชอมสกี้นี้เกิดขึ้นหลังจากยุคทฤษฎีพฤติกรรมนิยม (Behaviorism) ที่เชื่อว่าการเรียนรู้ภาษาของมนุษย์หลักๆแล้วเกิดจากการที่มนุษย์เมื่อแรกรู้ความได้ฟังและพูดตามแบบภาษาซ้ำๆกัน (จากการกระตุ้นและเลียนแบบ) แล้วจึงเกิดความจำในตัวภาษาและนำไปใช้ได้ในที่สุด ซึ้งชอมสกี้ได้โต้แย้งว่าแค่ความสามารถที่ติดตัวมาข้างต้นเพียงพอสำหรับการได้มาซึ่งภาษาแล้ว การเลียนแบบและทำซ้ำเป็นเพียงปัจจัยย่อยที่ส่งเสริมการใช้ภาษาในสถานการณ์จริงเท่านั้นทฤษฎีของชอมสกี้นี้ได้รับการตอบรับอย่างกว้างขวาง และเป็นทฤษฎีหลักในการเป็นแม่แบบในการศึกษาทฤษฎีอื่นๆที่เชื่อมโยง ซึ่งได้แก่การศึกษาเรื่องของสมองมนุษย์ และการศึกษาภาษาศาสตร์ปริชาน(Cognitive Linguistics) ซึ่งเปรียบเทียบสมองมนุษย์กับเครื่องคอมพิวเตอร์ว่ามีความคล้ายคลึงกันมาก ในแง่ที่ว่าคอมพิวเตอร์จะสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพตราบใดที่มันได้ถูกวางโปรแกรมไว้อย่างมีระบบตั้งแต่เริ่มแรก เช่นเดียวกับสมองของมนุษย์ที่มีการวางโปรแกรมทางภาษามาตั้งแต่แรกเกิด ซึ้งอาจเรียกโปรแกมที่อยู่ในสมองมนุษย์นี้ว่า LAD (Language Acquisition Device)ชอมสกี้ได้เสนอความคิดอีกอย่างหนึ่งซึ่งกล่าวว่า มนุษย์สามารถเรียนรู้ภาษาได้ด้วยไม่จำเป็นต้องเรียนกฎอย่างเป็นทางการใดๆในภาษาแม้แต่น้อย ในความจริงแล้วทุกๆภาษามีกฎหรือรูปแบบที่เป็นไปในทิศทางเดียวกันแทบทั้งสิ้น แต่ผลของกฎที่เป็นไปในรูปของการแสดงออกทางภาษาในระหว่างมีปฎิสัมพันธ์นั้นอาจแตกต่างแต่งกันอย่างมากมายโดยขึ้นอยู่กับข้อจำกัดเฉพาะบางประการของภาษาต่างๆที่ไม่สามารถให้เห็นรูปทางภาษาที่เหมือนกันได้ แนวคิดเรื่องไวยากรณ์สากล (Universal Grammar) ของชอมสกี้นี้ พยายามจะอธิบายการได้มาซึ่งภาษาของมนุษย์โดยทั่วไป มิได้อ้างถึงว่าภาษามีความเหมือนกันทุกประการในเรื่องไวยากรณ์หรือโครงสร้างผิวที่ใช้ในการพูด ฟัง อ่าน หรือ เขียน แต่อย่างใด หากแต่ไวยากรณ์สากลนี้ได้พยายามกล่าวถึงการได้มาซึ่งภาษาของมนุษย์ตั้งแต่เด็กที่พยายามจะสื่อสารโดยใช้ข้อความตามความรู้สึกที่ต้องการสื่อโดยใช้รูปแบบภาษาที่เข้าใจได้ในภาษานั้นๆ (ซึ่งมีความคล้ายคลึงกันอยู่ในทุกภาษา) และแนวคิดนี้นี้เองที่ทำให้ แนวคิดทางภาษศาสตร์ของชอมสกี้โดดเด่นแตกต่างจากแนวคิดของนักภาษาศาสตร์คนอื่นๆและได้รับการยกย่องให้เป็นทฤษฏีแม่บทอีกบทหนึ่งที่มีอิทธิพลต่อการศึกษาภาษาจนถึงปัจจุบัน

บทความนี้ผู้เขียนแปลและเรียบเรียงจาก
1. Bursky,Robert F.1997. Noam Chomsky: A Life of Dissent. Cambridge: The MIT Press.
2. Lyons,John.1978. Noam Chomsky. New York: Penguin Books.
3. Richards,Jack C& Platt,John& Platt,Heidi.1998. Longman Dictionary of Language & Applied Linguistics. English-Chinese edition.Addison Longman China Ltd.

วันอาทิตย์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2552

เรียนภาษาอังกฤษจากเพลง

วันนี้วันหยุดมาเรียนภาษาอังกฤษผ่านเพลงที่นี่กันดีกว่าครับ
http://www.vcharkarn.com/vblog/40511

วันพฤหัสบดีที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2552

เรียนภาษาอังกฤษกับอ.ฐิติรัตน์

วันนี้เรามาเรียนภาษาอังกฤษด้วยการอ่านบทความเกี่ยวกับภาษาอังกฤษกับอาจารย์ อ้อม ครับ http://gotoknow.org/blog/NUEnglish/toc
และมีบล็อกเกี่ยวกับชีวิตนักศึกษาปริญญาเอกกับการทำวิจัยพร้อมบทความปริญญาเอกของท่านด้วย เชิญเข้าอ่านเลยครับ
http://tsreadinglog.blogspot.com/
http://tessiesphdjournal.blogspot.com/

วันพุธที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2552

แหล่งโหลดหนังสือ

วันนี้อยากแนะนำที่โหลดหนังสือกันไว้อ่านครับมีแต่หนังสือดีทั้งนั้นเลย
ไม่ต้องอธิบายอะไรให้มากเข้าไปดูและโหลดไว้อ่านเลยครับก่อนเว็บจะหายไป
http://www.english-download.blogspot.com/

หนูแทะหนังสือ

หนูแทะหนังสือ
**ครูหนู
การอ่านหนังสือเป็นกิจกรรมที่ดีมีประโยชน์ หลายชาติหลายภาษาต่างก็พยายามสนับสนุนให้คนในชาติอ่านหนังสือกัน อันที่จริงการที่ได้มาซึ่งความรู้สามารถทำได้หลายอย่าง เช่นดูโทรทัศน์ ฟังวิทยุ ฟังผู้มีความรู้ประสบการณ์พูดก็ล้วนแต่ได้รับความรู้ทั้งนั้น นักจิตวิทยาการศึกษากล่าวว่าการได้ความรู้จากการดูโทรทัศน์เป็นการรับสารฝ่ายเดียว ผู้รับไม่ค่อยมีโอกาสสร้างสรรค์จินตนาการมากนัก เนื่องเพราะส่วนใหญ่โทรทัศน์สร้างภาพให้แล้ว เมื่อเปรียบเทียบการการอ่านหนังสือ ซึ่งเป็นเครื่องมืออันวิเศษที่จะช่วยให้ผู้อ่านสร้างจินตนาการไม่มีขอบเขต ในหนังสือส่วนใหญ่จะมีแต่ตัวหนังสือ ซึ่งเป็นรหัสซึ่งผู้อ่านต้องถอดรหัสเอง สร้างภาพสร้างจินตนาการเองขณะอ่าน ดังนั้น นักการศึกษาทั้งหลายจึงยกย่องให้การอ่านเป็นพระเอกในเรื่องของการเสาะแสวงหาความรู้ ผมรู้จักอ่านเมื่อเริ่มเข้าเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ไม่ได้เข้าอนุบาลเพราะสมัยนั้นไม่มีระดับอนุบาล การเตรียมความพร้อมก็ว่ากันไปในระดับประถมเลย ครูสอนให้อ่านอะไรก็อ่านไปตามเรื่องตามราว หลังจากจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ภาคบังคับ แล้วไปเป็นคาวบอยอยู่ 1 ปี ดูแลวัวประมาณสิบกว่าตัว รู้สึกว่าการอ่านขาดหายไป ปีต่อมาพ่อจับให้บวชเรียนเพราะคิดว่าเป็นช่องทางที่ชีวิตจะก้าวหน้าเพราะได้เรียนหนังสือ ถ้าเรียนในระบบจะมีค่าใช้จ่ายมาก ต้องเรียนนอกระบบ เรียนในวัด จึงมีโอกาสได้อ่านเป็นเรื่องเป็นราว เริ่มจากถูกบังคับให้อ่านหนังสือนักธรรมชั้นตรี โท และเอกตามลำดับ บวชเรียนอยู่ 4 ปี อ่านทุกคืน ทุกวัน มีกฎว่าต้องอ่านหนังสือถึงสี่ทุ่มจึงเข้านอนได้ ตื่นเวลาตีสีทำวัตรเช้าเสร็จ อ่านหนังสือต่อก่อนทำภารกิจกิจอื่น วิธีการเรียนที่ค่อนข้างโบราณสมัยนั้น แต่น่าจะนำมาปรับใช้ในการเรียนการสอนปัจจุบันได้ด้วยคือการท่องจำ นักศึกษานักธรรมทุกคนต้องท่องจำตำรา ได้ทุกตัวอักษรนักธรรมชั้นตรีต้องจำหนังสือนวโกวาทได้ทั้งเล่ม เพราะเป็นสิกขาบทของพระภิกษุต้องจำได้ทุกมาตรา(สิกขาบท) แล้วมาท่องให้ครูฟัง จึงจะอธิบายขยายความได้ การที่จะจำได้อย่างนั้นมิใช่ว่าต้องท่องแบบนกแก้วนกขุนทองอย่างเดียว จำเป็นต้องนำเทคนิคอื่นเข้ามาช่วยด้วย รวมถึงการคิดวิเคราะห์ หากการเรียนการสอนปัจจุบันนำมาปรับใช้บ้างก็น่าจะเป็นประโยชน์ไม่น้อย คงไม่ต้องถึงกับจำได้ทุกตัวอักษรหรอก เช่น ภาษาอังกฤษอาจต้องท่องกริยาสามช่อง ท่อง Tenses ท่องคำศัพท์ใหม่ ท่องกฎไวยากรณ์ต่าง ๆ ที่ครูสรุปให้อย่างสั้น ๆ ท่องประโยคที่ใช้ในสถานการณ์ต่าง ๆ แล้วมาสาธยายให้ครูฟัง การอ่านบ่อย ๆ ของผมในครั้งนั้นทำให้รู้สึกว่ามันจะกลายเป็นทักษะ เป็นนิสัยที่จะต้องทำความความเข้าใจจากการอ่าน เริ่มมีนิสัยรักการอ่าน เมื่อสมัยไปเรียนระดับม.ปลายที่โรงเรียนผู้ใหญ่สกลราชวิทยานุกูล อาจเป็นเพราะเริ่มวัยรุ่นเต็มตัว เริ่มรู้จักคิดถึงอนาคต “อยากได้อยากดี” อยากมีผลการเรียนสูงขึ้น กอปรกับต้องเป็นอารามบอยอยู่ที่วัดโพธิ์ชัยสองปีตามเวลาที่ต้องเรียน วัดนี้อยู่ตรงข้ามกับห้องสมุดประชาชนในสนามมิ่งเมือง สิ่งที่ชอบทำคือเสร็จงานวัดตอนเช้าก็ไปห้องสมุดประชาชน อ่านดะทั้งวัน บางทีก็ยืมมาอ่าน อ่านหลายเรื่องที่สนใจ สารคดี นวนิยายเรื่องยาว เรื่องสั้น อ่านเรื่องเพิ่มเติมที่เรียนจากโรงเรียน ถึงเวลา 16.00 น. จึงไปเข้าเรียนหลังจากที่ภาคปกติเขาเลิกแล้ว ผมเข้าใจภายหลังว่าจากการที่เราชอบอ่านหนังสือ มันช่วยทำให้ผลการเรียนของเราในวิชาต่าง ๆ ดีขึ้น มันเข้าไปส่งเสริมกันอย่างไม่รู้ตัว ปัจจุบันเขาเรียกว่าบูรณาการ เช่น ถ้าเราอ่านสารคดีเชิงวิทยาศาสตร์ เรื่อง Supper conductor ตัวนำยิ่งยวด ที่เป็นภาษาไทย ก็จะพลอยทำให้เราไปอ่านที่เป็นภาษาอังกฤษได้เข้าใจง่ายยิ่งขึ้น ผลการเรียนภาคที่ 1 ออกมาแล้วได้เกรด 2.90 อยู่ลำดับที่ 5 ของห้อง ต่อมาเมื่อเรียนครบ 5 ภาคเรียน ได้เกรดเฉลี่ย 3.45 ได้อันดับที่ 1 ของทั้งภาคปกติและภาคค่ำ ต่างจากตอนจบม.ต้น (ระดับ 3) ไม่ทราบลำดับด้วยซ้ำ จบระดับ 5 (ม.ศ.5) ก็ไปต่อวิชาเอกภาษาอังกฤษในระดับ ป.กศ.สูง วิทยาลัยครูอุดรธานี หลักสูตร 2 ปี ที่นี่มีห้องสมุดที่ใหญ่มากมีหนังสือมากมายให้หนอนหนังสือได้อ่านกัน เราก็สมัครเป็นหนอนตัวหนึ่งในนั้นด้วย จุดมุ่งหมายในการอ่านหนังสือของผมอ่านเพื่ออยากรู้ ผมอยากรู้ในหลาย ๆ เรื่อง อ่านเป็นนิสัยโดยที่ครูไม่ต้องมาบังคับให้อ่าน อย่างหนังสืออ่านนอกเวลาบางครั้งก็จำกัดไม่มีเงินซื้อ ถ้าเร่งด่วนจะใช้วิธีสองหารกับเพื่อนแล้วมาฉีกแบ่งกันคนละครึ่งแล้วมาเปลี่ยนกันภายหลัง ถึงตอนจบสอบเข้าทำงานก็ต้องเตรียมอ่านเพื่อให้ได้คะแนนสูงเข้าไว้ จึงจะเข้าทำงานได้ เรามองโลกในแง่ดีว่าทุกครั้งของการสอบเขาต้องเอาคนที่มีความรู้ความสามารถแน่นอน จะไม่นึกถึงเส้นสายอะไรเลย ช่วงนี้จึงต้องใช้เทคนิคการอ่านแบบอ่านตำราวิชาการ อ่านทุกอย่างตามหลักสูตรเขากำหนด อ่านทุกบรรทัด ทุกถ้อยคำพร้อมคิด วิเคราะห์ หาเทคนิควิธีจดจำมามาช่วย เทคนิคเหล่านี้ก็ได้มาจากการอ่านอีกนั่นแหละ ส่งผลให้สอบเข้าทำงานได้ดังใจปรารถนา เมื่อทำงานพอมีเงินเดือนเริ่มซื้อหนังสือมาอ่านเอง เพราะไม่สะดวกที่จะไปยืมหนังสือจากห้องสมุดใหญ่ ๆ บ้านอยู่ไกลห้องสมุด มาทำงาน 2 ปี แล้วกลับไปเรียนต่ออีก เพราะเห็นว่าการเรียนภาษาจำเป็นต้องฝึกฝนให้มาก ๆ กับครู กับแหล่งความรู้ แต่นิสัยเข้าอ่านในห้องสมุดยังไม่เปลี่ยนแปลง ผลการเรียนตอนเป็นผู้ใหญ่ก็ยังดี จบออกด้วยเกรด 3 ขึ้นไป ผมเป็นคนไม่ชอบเข้านอนดึก แต่สามารถตื่นนอนตอนดึก ๆ ได้ (Night owl) ช่วงดึก ๆ นี้แหละเป็นช่วงเวลาที่วิเศษสุด เหมาะสำหรับการอ่านเป็นอย่างยิ่ง คิดว่าสมองคงปลอดโปร่งที่สุดหลังจากพักมาทั้งคืน สามารถจัดระเบียบแฟ้มความรู้ต่าง ๆ ลงตัว คิดว่าการเป็นครูมีสิ่งหนึ่งที่ต้องทำคืออ่านให้มากกว่าเด็กเข้าไว้เพื่อว่าจะได้มีความรู้ที่ทันสมัยหลาย ๆ เรื่อง สามารถนำมาบูรณาการในการสอนของเราได้ เกือบสิบปีมานี้การอ่านเปลี่ยนไป จากแทะหนังสือมาเพิ่มเป็นแทะเรื่องราวบนจอคอมพิวเตอร์จากอินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้น ทำให้ลดปริมาณการซื้อหนังสือลงได้มาก ความสนใจในสื่ออีเล็กทรอนิกส์มีมากขึ้น เวลาในการอ่านหนังสือจึงเฉลี่ยไปยังการอ่านเพื่อเรียนรู้ด้วยตนเองเกี่ยวกับการใช้ฮาร์ดแวร์และซอฟท์แวร์ต่าง ๆ การที่จะเข้าใจเครื่องมือเทคโนโลยีสมัยใหม่พวกนี้จำเป็นต้องอาศัยความอดทน และเวลาในการอ่าน ทดลองทำตามหนังสือที่เขียนไว้ การอ่านหนังสือเป็นสิ่งที่ต้องค่อยเป็นค่อยไป อ่านสะสมบ่อย ๆ เหมือนชาร์ตแบตเตอรี จะเร่งแบบชาร์ตเร็วไม่ค่อยได้ผล ทำให้แบตฯเสื่อมเร็ว ได้เปิดโลกสู่การเรียนรู้ทางอินเทอร์เน็ตด้วยการอ่าน โชคดีอีกอย่างคือเราสามารถอ่านภาษาอังกฤษได้อีกภาษาหนึ่งทำให้เปิดประตูสู่ความรู้ได้กว้างขึ้น ได้รวบรวมเว็บไซต์ที่เป็นประโยชน์สำหรับครูภาษาอังกฤษและนักเรียน อ่านแล้วรวบรวมข้อมูล ไฟล์เสียง ภาพที่เป็นประโยชน์สำหรับครูและนักเรียนเพื่อใช้เป็นสื่อการเรียนในห้องเรียนได้ด้วย จากการที่ได้ร่วมงานกับฝรั่งอาสาสมัครที่มาสอนที่โรงเรียนมีหลากหลายอาชีพกว่า 20 คนในสี่ปีที่ผ่านมา พบว่าฝรั่งมีนิสัยรักการอ่านมากกว่าคนไทยจริง เขาจะพกพาหนังสือเล่มใหญ่ ๆ ติดตัวแทบตลอดเวลา เมื่อว่างหรือให้นั่งรอเขาบอกเราว่าไม่ต้องห่วงฉันมีหนังสืออ่านรอได้ เห็นหนังสือเขาแล้วก็ต้องยอมรับต้องใช้เวลาในการอ่านไม่น้อยแต่เขาจะค่อย ๆ อ่านไปเรื่อย ๆ อ่านอย่างได้อรรถรส เกือบทุกคนสามารถพิมพ์คอมพิวเตอร์ได้อย่างคล่องแคล่วรวดเร็วมาก จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า วัฒนธรรมในการอ่านของเขาช่วยทำให้เขาสร้างและพัฒนาชาติให้เจริญก้าวหน้าเป็นประเทศอุตสาหกรรมและมั่งคั่งได้ สามารถประดิษฐ์คิดค้นเครื่องมือและเทคโนโลยีที่มีมูลค่าสูง มีประโยชน์ต่อมนุษย์ เอามาขายราคาแพงให้คนชาติอื่นใช้ ความรู้ที่คนของเขามีเขาบันทึกไว้ คนรุ่นหลังมาอ่านต่อ รับช่วงกันอย่างไม่ขาดสาย เป็นเรื่องที่น่าตกใจและน่าเป็นห่วงเมื่อได้ทราบข่าวว่าสำนักวิจัยสวนดุสิตได้วิจัยพบว่านักศึกษาในกรุงเทพมหานครอ่านหนังสือวันละ 16 นาที แต่พูดโทรศัพท์วันละเป็นชั่วโมง แสดงให้เห็นว่าเขายุ่งอยู่กับการ “ส่งสาร” จนไม่มีเวลา “รับสาร” ในแต่ละวันเราได้อะไรจากการอ่านหลายอย่าง สำหรับผมบ่อยครั้งเป็นการอ่านเพื่อพักผ่อนและคลายเครียด ในขณะเดียวกันก็ได้เพิ่มพูนความรู้ไปในตัว ทำให้เป็นคนทันโลก ทันเหตุการณ์ ตอนนี้ก็กำลังชักชวนนักเรียนชั้น ม. 4 ที่เรียนภาษาอังกฤษด้วยจำนวนเกือบ 300 คน มีอีเมล์ของ hotmail ทุกคน เพื่อรับบทเรียนทางอินเทอร์เน็ต เพื่อเป็นเครื่องมือช่วยในการสื่อสาร อ่านข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต เป็นการศึกษาแบบ E-Learning ตามนโยบายของโรงเรียนในฝันและโรงเรียนต้นแบบการจัดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ แต่การอ่านของนักเรียนอาจมีอุปสรรคเพราะสื่อเทคโนโลยีสมัยใหม่เป็นคู่แข่งที่มีอิทธิพลไม่น้อย เช่น รายการทีวีที่มีสาระน้อย(น้ำเน่า) โทรศัพท์มือถือที่ดูเหมือนจะเป็นสิ่งเสพติดเข้าไปทุกวัน เครื่องเล่น MP3 ที่จะต้องมีเสียงเพลงเกือบตลอดเวลาที่ตื่น ฟังได้ทุกที่ทุกเวลา เกมคอมพิวเตอร์ที่น่าตื่นเต้นและสมจริง ในอดีตหลายร้อยปีผ่านมาหนังสือมีจำกัด เขาจึงยกย่องคนที่ฟังมากว่าเป็นพหูสูต เป็นผู้รู้นักปราชญ์ เป็นปัญญาชน ปัจจุบันการพิมพ์หนังสือทำได้ง่าย หนังสือหาอ่านได้ง่ายขึ้น ความสำคัญของการอ่านจึงมีมากกว่าในอดีต ผมต้องการให้นักเรียนที่ผมสอนเป็นคนที่ใฝ่เรียนใฝ่รู้ และคำนึงอยู่เสมอว่า “อ่านนิดฉลาดน้อย อ่านบ่อยฉลาดมา
แหล่งข้อมูลบทความจาก **ครูหนู – ครูหนูพูล โรงเรียนนบ้านดุงวิทยา
บทความนี้ต้องการจุดประกายให้นักเรียนได้เห็นความสำคัญของการอ่าน และลงมืออ่าน

แหล่งข้อมูลภาษาอังกฤษ 4

หมวดที่ 1 Writing หมวดการเขียนภาษาอังกฤษ: http://scc.losrios.edu/~langlit/esl/links/writinglinks.html http://tinyurl.com/2yrz9
(อันนี้เป็นรวมลิงค์) หมวดการเขียนภาษาอังกฤษโดยไม่ใช้คำฟุ่มเฟือยเยิ่นเย้อ: http://leo.stcloudstate.edu/style/wordiness.html http://mit.imoat.net/handbook/wordines.htm http://owl.english.purdue.edu/ http://staff.jccc.net/pmcqueen/Tips/wordiness.htm http://web.uvic.ca/~gkblank/wordiness.html http://www.bristol.mass.edu/Department_Pages/Quest_Writing_Lab/grammar/wordines.htm http://www.bulzeye.co.nz/wordiness_ddf.htm http://www.class.uidaho.edu/adv_tech_wrt/resources/sentence_style/Wordiness.htm http://www.howewriteyouare.com/articles/eliminatewordiness_0203.html

หมวดการเขียนจดหมายภาษาอังกฤษต่างๆ: http://esl.about.com/cs/onthejobenglish/a/a_basbletter.htm http://esl.about.com/library/howto/htbusiness.htm http://jobsearchtech.about.com/library/bl-business-letters.htm http://owl.english.purdue.edu/handouts/pw/p_basicbusletter.html http://www.bkkonline.com/business/ http://www.business-letter-writing.com/writing-a-business-letter-examples/7Cs-of-business-letter-writing.html http://www.io.com/~hcexres/tcm1603/acchtml/genlett.html http://www.parapal-online.co.uk/letters.html http://www.wisc.edu/writing/Handbook/BusinessLetter.html

หมวดการเขียนภาษาอังกฤษ แบบ plain English: http://home.comcast.net/~garbl/writing/concise.htm http://www.askoxford.com/betterwriting/plainenglish/ http://www.plainenglish.co.uk/ http://www.plainlanguage.gov/
หมวดวิธีกรอกแบบฟอร์มต่างๆ: http://www.parapal-online.co.uk/exercises/multichoice.swf?address=general//form_m
หมวดฝึกเขียนภาษาอังกฤษคุยกับคนทั่วโลก: http://www.englishclub.com/esl-forums/index.php http://www.englishforum.com/00/students/ http://www.eslcafe.com/forums/student/ http://www.usingenglish.com/forum/

หมวด Written Comprehension: http://www.ifglangues.fr/test/english.htm http://www.lcc.gatech.edu/regents/scoremanual.html http://www.phon.ucl.ac.uk/home/dick/feg/essays.htm http://www.takesat.com/writing.php --------------------------------------------------------------------------------------------------

หมวดที่ English Test หมวด Free Review - TOEFL/IELTS/TOEIC: 1. TOEFL http://acescores.netfirms.com/TOEFL/toefl.html http://esl.about.com/cs/toefl/ http://www.englishdaily626.com/tfvocab.php?001 http://www.free-toefl.com/

(เฉพาะเว็บนี้ต้องลงทะเบียนก่อน) http://www.stuff.co.uk/toefl.htm http://www.testmagic.com/toefl/ http://www.testwise.com/review.html 2. IELTS http://esl.about.com/cs/toefl/a/a_ielts_2.htm http://homepages.ihug.com.au/~qqqf/ielts.html http://www.directory.co.uk/Free_Online_Exams_For_Ielts.htm http://www.ielts.studyau.com/ 3. TOEIC http://eleaston.com/standtestqz.html#toeic http://www.1-language.com/materials/toeic/index.htm http://www.4tests.com/exams/examdetail.asp?eid=74 http://www.docnmail.com/tests/language/toeic.htm http://www.encomiuminteractive.com/Shockwave/AlexisDemo/ http://www.englishclub.com/esl-exams/ets-toeic.htm http://www.english-test.net/toeic/index2.html http://www.free-english.com/TOEIC-practice-test.aspx http://www.toeiccity.com/ ---------------------------------------------------------------------

หมวดที่ Resource หมวดศึกษาภาษาอังกฤษด้วยตัวเอง: http://assoc.orange.fr/une.education.pour.demain/rodsex/rodsindex.htm http://depts.gallaudet.edu/Englishworks/ http://eleaston.com/ http://esl.about.com/ http://internationaleflcafe.com/index.htm http://www.1-language.com/ http://www.angelfire.com/yt/efl/ http://www.antimoon.com/ http://www.bbc.co.uk/learning/subjects/english.shtml http://www.englishdaily626.com/ http://www.englishforums.com/ http://www.englishpage.com/ http://www.esldesk.com/esl-links/ http://www.eslpages.com/ http://www.everydayenglish.com/index.htm http://www.lclark.edu/~krauss/toppicks/toppicks.html http://www.learnenglish.de/ http://www.learnenglish.org.uk/ http://www.myefa.org/login.cfm?fuseaction=default http://www.tv411.org/index.shtml http://www.utb.boras.se/uk/se/projekt/randall/

หมวดเว็บคนไทยสอนอังกฤษ http://iteslj.org/v/th/ http://langmedia.fivecolleges.edu/collection/lm_thailand/thIndex.html http://learningthai.com/flashcards/index.html http://www.geocities.com/words_4u2001/ http://www.isangate.com/dict/default.asp

หมวด Encyclopedia: 1. รวมทุกแขนง http://en.wikipedia.org/ http://encarta.msn.com/encnet/refpages/artcenter.aspx http://encyclopedia.thefreedictionary.com/ http://kanchanapisek.or.th/kp6/GENERAL/encyclopedia/saranugrom.htm http://reference.allrefer.com/ http://www.bartleby.com/65/ http://www.britannica.com/ http://www.encyclopedia.com/ http://www.factmonster.com/ http://www.infoplease.com/ http://www.probert-encyclopaedia.co.uk/ http://www.si.edu/resource/faq/start.htm http://www.worldbookonline.com/

2. encyclopedia แยกตาม subjects http://www.encyberpedia.com/eindex.htm http://www.refdesk.com/myency.html 3. Encyclopedia of English Grammar and Word Grammar http://www.phon.ucl.ac.uk/home/dick/enc/index.htm

หมวดเรียนภาษาอื่นๆ ทั่วโลก http://www.languageguide.org/

ขอขอบคุณเจ้าของแหล่งข้อมูลจาก http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=blogangel&group=11&page=6

แหล่งข้อมูลภาษาอังกฤษ 3 Listening

Listening หมวดข่าวภาษาอังกฤษ:
1. สำนักข่าวไทย ภาคภาษาอังกฤษ http://etna.mcot.net/
2. สำนักข่าว BBC http://www.bbc.co.uk/radio/ http://www.bbc.co.uk/worldservice/index.shtml
3. สำนักข่าว VOA หรือ VOICE OF AMERICA http://www.voanews.com/english/Webcasts.cfm http://www.voanews.com/specialenglish ฟังข่าวอ่านช้า ๆ เป็นภาษาอังกฤษ หรือ Special English http://www.voanews.com/Thai/index.cfm ฟังข่าว บทความ และการสอนภาษาอังกฤษ เป็นภาษาไทย(คนอ่านเป็นคนไทย)
4. สำนักข่าว RADIO JAPAN ONLINE Homepage มีให้ฟังทั้งหมด 22 ภาษา http://www.nhk.or.jp/rj/index_e.html http://www.nhk.or.jp/daily/english/
5. สำนักข่าว CNN http://www.cnn.com/
6. สำนักข่าว Reuters http://www.reuters.com/
7. สำนักข่าว AP http://www.ap.org/
8. องค์การสหประชาชาติ http://radio.un.org/
9. ข่าวสั้นทั่วโลก http://www.broadcast-live.com/ ข่าวสั้นของ BBC(อังกฤษ), VOA(อเมริกัน), และ NHK(ญี่ปุ่น) http://www.breakingnewsenglish.com/
10. ฟังข่าวผ่านอินเตอร์เน็ตของประเทศต่างๆ หลายสำเนียง ของคนทั่วโลกที่พูดภาษาอังกฤษ http://www.broadcast-live.com/radionews.html http://www.headlinespot.com/type/television/ http://www.ilgradio.com/ibwd/ http://www.interworldradio.org/ http://www.live-radio.net/worldwide.shtml http://www.npr.org/programs/ http://www.pbs.org/newshour/newshour_index.html http://www.radiotower.com/?c=News&h_i=0&h_r=20 http://www.tvradioworld.com/ --------------------------------

หมวดที่ Listening หมวดสนทนาทั่วๆไป: http://abcasiapacific.com/livingenglish/ http://iteslj.org/links/ESL/Speaking/ http://www.abcasiapacific.com/englishbites/ http://www.edict.com.hk/vlc/default.htm http://www.efl.net/ http://www.englisch-hilfen.de/en/words/conversation.htm http://www.focusenglish.com/dialogues/conversation.html http://www.freeenglishnow.com/memory.html http://www.ompersonal.com.ar/omaudio/contenidotematico.htm

Particles in Conversation Questions 1 – 7 (มี test เกี่ยวกับการใช้ preposition ในบทสนทนา) http://a4esl.org/q/j/tp/mc-particle.html http://a4esl.org/q/j/tp/mc-particle2.html http://a4esl.org/q/j/tp/mc-particle3.html http://a4esl.org/q/j/tp/mc-particle4.html http://a4esl.org/q/j/tp/mc-particle5.html http://a4esl.org/q/j/tp/mc-particle6.html http://a4esl.org/q/j/tp/mc-particle7.html

หมวดสนทนาภาษาอังกฤษทางโทรศัพท์:
http://esl.about.com/library/weekly/aa092000a.htm http://langues.ups-tlse.fr/Murillo/Telephoning/Telephoning.htm http://www.eslpartyland.com/teachers/listening/roletelephone.htm http://www.handoutsonline.com/handouts/misc/telephone2.pdf http://www.learningthai.com/phone.html

หมวด Job interview
http://www.job-interview.net/sample/FlightAttendant.htm http://www.southworth.com/page.php?id=152 http://www.yindii.com/clubs/biz/interviewtips.htm

หมวด Pronunciation:
http://esl.about.com/library/lessons/blipaprint.htm http://evaeaston.com/pr/home.html http://international.ouc.bc.ca/pronunciation/ http://www.englishclub.com/pronunciation/index.htm http://www.eslinusa.com/free_ESL_learning_resources_Speaking.html http://www.soundsofenglish.org/pronunciation/suprasegmentals/

ข้อมูลจาก http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=blogangel&group=11&page=6

แหล่งข้อมูลภาษาอังกฤษ 2 Reading

Reading หมวดหนังสือพิมพ์:
1. หนังสือพิมพ์ของไทย หนังสือพิมพ์เนชั่นจูเนียร์ เป็นหนังสือในเครือ The Nation http://www.nationjunior.net/ สติวเด้นท์วีกลี่ เป็นหนังสือในเครือ Bangkok Post http://www.student-weekly.com/ รวบรวมพาดหัวข่าว จากหนังสือพิมพ์และสำนักข่าวหลายแห่ง http://www.norsorpor.com/english.html
2. หนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษ จากทวีป/ประเทศใดก็ได้ในโลกนี้
http://www.onlinenewspapers.com/ http://www.oneworld.net/

หมวดนิตยสารภาษาอังกฤษทั่วโลก:
http://www.findarticles.com/PI/index.jhtml http://www.magatopia.com/ http://www.magportal.com/

หมวด Free E-book/Forum/Article:
http://pinkmonkey.com/pinkmonkey.asp http://towerofenglish.com/reading.html http://www.bibliomania.com/ http://www.bookrags.com/articles/ http://www.bookrags.com/ebooks/ http://www.bookrags.com/notes/ http://www.campusnut.com/bookindex.cfm http://www.cityfamily.org/v2/cicityFamily.asp http://www.e-book.com.au/freebooks.htm http://www.freebooknotes.com/ http://www.knowledgerush.com/ http://www.magickeys.com/books/ http://www.sparknotes.com/lit/

หมวด Free ตำราสอนภาษาอังกฤษ
เล่มที่ 1- หนังสือเรื่องสนทนาอังกฤษธุรกิจ หรือ Business Conversation http://www.wphat.com/knowledge/onlinebooks/businessconversation/busiconver.html
เล่มที่ 2 - หนังสือเรื่องเรียนลัดไวยากรณ์จากการสนทนา หรือ Grammar through Conversation http://www.wphat.com/knowledge/onlinebooks/grammarconversation/gc/grammarconversation.htm เล่มที่ 3 - หนังสือเรื่องคำลวงภาษาอังกฤษ
http://www.wphat.com/knowledge/english/thoughts/tho_idx.htm
เล่มที่ 4 - บทภาพยนตร์ของภาพยนตร์ที่น่าสนใจและภาพยนตร์ที่ฉายทาง UBC http://www.wphat.com/knowledge/mscript/mscript.htm
เล่มที่ 5 - หนังสือดีของ BBC มาศึกษาฟรี 12 เล่ม http://www.bbc.co.uk/worldservice/learningenglish/radio/studyguides/index.shtml

หมวด Free Audio Book:
http://www.audiobooksforfree.com/screen_main.asp คลิกที่ Free Registration ที่คอลัมน์ซ้ายมือ บรรทัดล่างสุด; จะไปที่หน้าซึ่งเขาให้เรากรอกข้อความเพื่อสมัครเป็นสมาชิก http://www.literacynet.org/cnnsf/ http://www.repeatafterus.com/index.php http://www.spotlightradio.net/

หมวด Clean joke:
http://www.950.net/category/3.html http://www.aarons-jokes.com/clean_jokes/ http://www.ahajokes.com/ http://www.gcfl.net/archive/ http://www.surfccc.com/humor/

หมวด Reading Comprehension:
http://web2.uvcs.uvic.ca/elc/studyzone/200/reading/index.htm http://www.insightin.com/reading/search.shtml http://www.takesat.com/verbal_main.php

หมวดที่ Grammar หมวดเวบคนไทยจัดทำขึ้นมา
http://www.bkkonline.com/fun-english/ http://www.bkkonline.com/nanny/ http://www.geocities.com/etlic/ http://www.nfe-warin.com/english/index.htm http://www.yindii.com/

แหล่งรวมเว็บภาษาอังกฤษที่น่าสนใจ 1

Websites for English Learners & Teachers
http://spaces.msn.com/newpoon/ เว็บไซต์ครูหนูพูล เข้าไปเรียนภาษาอังกฤษออนไลน์ แหล่งสืบค้นข้อมูลสำหรับครูภาษาอังกฤษ
http://www.rong-chang.com/ แหล่งรวมลิงค์เกี่ยวกับการเรียนการสอนภาษาอังกฤษที่ดีที่สุดแห่งหนึ่ง
http://iteslj.org/ เว็บของ Kelly อเมริกันชนที่สอนภาษาอังกฤษที่ญี่ปุ่นกว่า 20 ปี ให้คุณภาพ 5 ดาว
http://a4esl.org/ มีกิจกรรมให้ทำมากมายเหมาะสำหรับนักเรียนทุกระดับ quiz ก็เยอะ
http://www.manythings.org/voa/ ให้ 5 ดาว เว็บนี้ มีข้อมูลมากสมชื่อ คนทำเว็บเป็นมืออาชีพจริง ๆ ฟรีด้วย
http://esl-lab.com/ เสมือนท่านเข้าไปในห้อง Sound Lab มีเทปเสียงพร้อม script มากมาย
http://voanews.com/specialenglish/ ฟังข่าวสารคดีที่ให้ภาษาง่าย ช้า ชัดเจนแบบอเมริกันจาก VOA ที่นี่ที่เดียว
www.student-weekly.com/ หนังสือพิมพ์ที่ครูและนักเรียนภาษาอังกฤษรู้จักเป็นอย่างดี
www.nationjunior.com/ หนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษสำหรับครูและนักเรียน
http://e-book.ram.edu/e-book/ อ่าน E-book ของมหาวิทยาลัยรามคำแหง มีตำราดี ๆ มากมาย
http://esl.about.com/ มีสื่อ แผนการสอนเยอะ
www.manythings.org/voa/sentences.htm ถ้าต้องการหาตัวอย่างการใช้คำในประโยคต้องที่นี่
www.bangkokpost.net/education/ บางกอกโพสท์มีบริการเพื่อการศึกษา สอนวิธีอ่านหนังสือพิมพ์ด้วย
www.thai-d.com/movie-english/ สำหรับคอภาพยนตร์ฝรั่ง ดาวน์โหลด script หนัง soundtrack มาอ่าน
www.movie-list.com/ อ่านหรือดาวน์โหลด Script หนังฝรั่งที่นี่
www.moviecentre.net/scripts/movies/ อ่านหรือดาวน์โหลด Script หนังฝรั่งที่นี่
http://www.readinglady.com/Readers_Theater/Scripts/ มีข้อมูลสำหรับครู-นักเรียนมาก ฟรี และขาย เว็บนี้ก็ดี
www.teachingheart.net/ เหมาะสำหรับทุกระดับตั้งแต่อนุบาลขึ้นไป ออกแบบเว็บน่ารัก ให้ 5 ดาว
www.lisablau.com/ ครู Lisa เสียชีวิตแล้ว แต่งานของเธอยังคงมีประโยชน์สำหรับครูภาษาอังกฤษ มีบทละครด้วย
http://www.englishclub.com/ เว็บนี้ก็ดีมาก มีทุกเรื่อง ควรสมัครเป็นสมาชิกด้วย
http://www.teachingenglish.org.uk/ มีสื่อและเทคนิคการสอนภาษาอังกฤษให้นำมาใช้มากมาย
www.bbc.co.uk/ ฟังวิทยุ BBC แบบอังกฤษขนานแท้ที่นี่ ดาวน์โหลดมาเก็บไว้ฟังก็ได้
www.manythings.org/voa/wm/ ฝึกฟังสัมภาษณ์ในรายการ Word Master จาก VOA มี script ด้วย
http://www.ilovewavs.com/ เปิดฟังสารพัดเสียง หรือบันทึกไว้ประกอบสื่อการสอนก็ได้ ไฟล์เสียงนามสกุล .mid
www.thaistudents.com/ เป็นเว็บไทยแต่มีสาระให้เรียนรู้มากมายเกี่ยวกับวัฒนธรรมไทย
www.tourismthailand.org/ เว็บ ททท.แต่ปรับภาษาเป็นอังกฤษก็จะได้ข้อมูลภาษาที่น่าสนใจหลายอย่าง
www.jimpoz.com/ ศูนย์รวมสุภาษิต คำคม มากที่สุด แนวการเขียนภาษาอังกฤษ และสาระอื่น ๆ
www.coloring.ws/ สื่อการสอนประเภทระบายสี games and puzzles
www.yindii.com/ เว็บเด่นของเมืองไทย อาจารย์นงเยาว์ ให้เรียนภาษาอังกฤษฟรี มีสื่อจำหน่ายด้วย
http://www.animationfactory.com/ มีภาพเคลื่อนไหวให้ดาวน์โหลดมาใช้ฟรี
www.nationmultimedia.com/edu/ เว็บไทย แต่มีสาระเกี่ยวกับการเรียนภาษาอังกฤษมาก
www.onestopenglish.com/ เป็นของสำนักพิมพ์ดัง Macmillan ดาวน์โหลดเกมภาษาอังกฤษไปติดตั้งไว้ฝึกสมอง
http://groups.msn.com/uetc3 แหล่งรวมพลคนสอนภาษาอังกฤษใน สพท.อด. 3 เชิญทุกท่านเข้าเป็นสมาชิก คลิกที่ join now
http://dictionary.cambridge.org/ เปิดใช้ Cambridge Dictionary แบบออนไลน์ หาตัวอย่างการใช้คำในประโยค
http://www.englishtown.com/ ใส่อีเมล์ไว้เพื่อรับบทเรียนมาฝึกสนทนาฟรีทุกวัน

วันจันทร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2552

เว็บเรียนภาษาอังกฤษที่ดีๆ

อ่านบทความภาษาอังกฤษและเข้าชมเว็บเรียนภาษาอังกฤษกันเถอะ
ถ้าคุณอยากเรียนภาษาอังกฤษ พัฒนาภาษาอังกฤษต้องเข้าชมที่เว็บนี้ครับ
ผมติดตามมาตลอดซึ่งมีเนื้อหาให้โหลดมาอ่านมาฟังเยอะเลยครับ
ต้องชมว่าคุณพิพัฒน์เขียนและสืบค้นบทความทางอินเตอร์เน็ตอย่างมากมายมารวบรวมไว้ให้เราได้อ่านได้ศึกษากัน
ต้องบอกว่า ขอบคุณมากๆเลยครับ ถ้าคนไทยช่วยเหลือซึ่งกันและกันมีความสามัคคี อย่างที่คุณพิพัฒน์ทำอยู่ประเทศไทยคงพัฒนาได้ไกล
ต้องขอบคุณครับ เชิญเข้าชมเลยครับhttp://english-for-thais-2.blogspot.com/

เรียนที่อินเดีย

เรียนที่อินเดียกับมหาวิทยาลัยเดลี
ปัจจุบันการเรียนในต่างประเทศยังเป็นสิ่งที่คนไทยต้องการที่จะไปเรียนจะด้วยเหตุผลเพื่อพัฒนาภาษาหรือต้องการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ
การเรียนการสอนที่อินเดียปัจจุบันก็ได้พัฒนาไปมาก บางคนบอกว่าเรียนที่อินเดียหางานยากบ้างหละ ไม่เป็นที่ยอมรับของคนไทยบ้างหละ
แต่ปัจจุบันความคิดต่างๆได้เปลี่ยนไปแล้วเพราะว่าคนที่ไปเรียนแล้วกลับมามีชื่อเสียงในวงการการศึกษาก็มากมาย บางมหาวิทยาลัยบางสาขายังติดอันดับต้นๆของเอเชียในการจัดอันดับและดีกว่าบางมหาวิทยาลัยของเราด้วยซ้ำไป ไม่ว่าคุณจะเรียนที่ไหนทุกอย่างอยู่ที่ตัวคุณเองมากกว่าไปเรียนแล้วไม่จบก็เยอะเพราะปัจจัยหลายอย่าง บุคคลเหล่านี้คือตัวอย่างที่เรียนจบจากอินเดียแล้วได้ดิบได้ดี
1.ดร.ธีรวิทย์ ภิญโญณัฐกานต์ สอนที่ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี
2.ผศ.ดร.นเรศ สุรสิทธิ์ สอนที่ มหาวิทยาลัยเอเชียอาคเนย์
3.อาจารย์ประเพศ ไกรจันทร์
4.ผศ.สุนิตย์ สอนที่ มหาวิทยาลัยนเรศวร วิทยาเขตแพร่
5.ดร.ธวัชชัย บุญจันทร์ สอนที่ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตสกลนคร
6.ดร.ธนพล จาดใจดี
7.รศ.ดร.วัชระ สอนที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
8.ผศ.ดร.สมบัติ มั่งมีสุขศิริ สอนที่มหาวิทยาลัยศิลปากร
9.รศ.ดร.มานพ วิสุทธิแพทย์ สอนที่ มศว.ประสานมิตร
10.รศ.ดร.สุพรรณี เหลือบุญชู สอนที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
และยังมีอีกมากมายที่จบมาแล้วได้ดิบได้ดี ไม่ว่าคุณจะเรียนที่ไหนสำคัญที่สุดที่ตัวเราเอง
ถ้าท่านอยากรู้ว่าเรียนยังไง ติดต่อที่ไหนเชิญเข้าชมที่นี่ครับ
กลุ่มพระนักศึกษาไทยมหาวิทยาลัยเดลี http://www.thaitsg.net/

ทำไมต้องเรียนภาษาอังกฤษ

ทำไมต้องเรียนภาษาอังกฤษ
ดร.ธีรวิทย์ ภิญโญณัฐกานต์
( B.A.,M.A.,M.PHIL,PH.D. Linguistics)
เหตุผลสนันสนุนที่ว่าทำไมคนไทยต้องเรียนภาษาอังกฤษพอจะประมวลเป็นข้อๆได้ดังนี้
1.ความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสมัยใหม่ไหลบ่ามาจากยุโรปและอเมริกาเป็นส่วนใหญ่ หากต้องการเข้าใจในสิ่งเหล่านี้ต้องมีความรู้ทางภาษาอังกฤษในระดับที่ใช้งานได้ เพราะตำรับตำราส่วนมากเขียนไว้เป็นภาษาอังกฤษ
2.ภาษาอังกฤษเป็นภาษาสากล ที่มีการเรียนรู้กันแพร่หลายที่สุด ใช้กันมากที่สุด การเรียนภาษาอังกฤษ จึงกลายเป็นเครื่องหมายของคนมีการศึกษาดีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
3.การติดต่อค้าขายระหว่างประเทศกว้างขวางมากขึ้น มีข้อจำกัดและกฏเกณฑ์เข้ามาเกี่ยวข้องมากมาย จึงจำเป็นต้องอาศัยภาษาอังกฤษซึ่งเป็นภาษากลางเป็นสื่อในการแก้ไขข้อขัดข้อง ทำสัญญาข้อตกลงต่างๆ
4.ปัจจุบันประเทศไทยกำลังพัฒนาตัวเองไปสู่ความเป็นประเทศอุตสาหกรรม จำเป็นต้องใช้บุคลากรที่มีความรู้ความสามารถในหลาย ๆ ด้าน รวมทั้งผู้ชำนาญการด้านภาษาด้วย
5. ในการแก้ไขปัญหาข้อขัดแย้งทางการเมือง การทหาร และการทูตระหว่างประเทศ จำเต้องมีความรอบคอบระมัดระวังในการเลือกใช้คำพูดเพื่อหลีกเลี่ยงการกระทบกระทั่งและความเข้าใจผิดต่างๆ อันเกิดจากการใช้คำพูดที่ไม่ถูกต้องเหมาะสม เพราะฉะนั้นการเรียนภาษาอังกฤษให้แตกฉานลึกซึ้งจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคนไทย
6.ถ้าคนไทยไม่คิดที่จะขวนขวายหาความรู้ด้านภาษาต่างประเทศ ก็เท่ากับปิดหูปิดตาปิดปากตัวเอง จะทำให้ประเทศไทยมืดมัวล้าหลังอยู่อย่างเดิม
7.ถ้าคนไทยรู้ภาษาต่างประเทศอย่างแพร่หลายและอยู่ในขั้นใช้การไก้อย่างจริงจังเต็มที่วิทยาการในโลกนี้ไม่ว่าจะเจริญรุดหน้าไปมากแค่ไหน คนไทยก็สามารถติดตามศึกษาได้ทันแก่กาลเวลา ไม่ล้าหลังและสามารถนำมาปรับปรุงพัฒนาชาติได้รวดเร็ว ตำรับตำราก็จะมีการแปล เรียบเรียงเผยแพร่เป็นภาษาไทยมากขึ้นตามลำดับ
8.นักจิตวิทยาทางภาษาศาสตร์ได้ค้นคว้า และสรุปออกมาแล้วว่า คนที่รู้มากกว่าหนึ่งภาษามีโอกาสได้พัฒนาสมองในส่วนที่เกี่ยวข้องกับภาษาได้มากกว่าคนที่พูดอยู่ภาษาเดียวและชี้ให้เห็นว่า คนที่พูดได้หลายภาษานั้น จะมีความคล่องแคล่วในการใช้คำพูดและความสามารถคิดในเรื่องภาษาในส่วนที่เป็นนามธรรมได้ลึกซึ้งกว่าคนที่รู้เพียงภาษาเดียว แน่นอนที่เราเห็นกันอย่างชัดๆ ก็คือคนที่เก่งหลายภาษามีโอกาสหารายได้เร็วกว่าและมากกว่าคนที่เก่งอยู่ภาษาเดียวคือภาษาแม่ของตัวเอง แค่เพียงเหตุผลที่ว่าการเรียนภาษาต่างประเทศคือการขยายข่ายความสามารถของมันสมองและจิตใจของเราเพียงอย่างเดียวก็น่าจะเป็นเหตุผลที่เพียงพอแล้วสำหรับการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศสำหรับคนไทย

เรียนภาษาอังกฤษอย่างได้ผลและมีประสิทธิภาพ:
1.ความตั้งใจเอาจริงเอาจังอย่างต่อเนื่อง การเรียนภาษาต่างประเทศนั้น มีส่วนทำให้ผู้เรียนเบื่อตรงที่ว่าเราต้องท่องจำมากมาย ยิ่งรู้มาก ก็ยิ่งรู้ว่าตัวเองรู้น้อย อย่าเพิ่งท้อแท้เสียก่อน พยายามฝึกฝนค้นคว้าต่อไปอย่าได้หยุดเสียก่อนจะบรรลุเป้าหมาย หลักอิทธิบาทของพระพุทธเจ้า คือ ฉันทะ ( ความพอใจ) วิริยะ ( ความมุมานะพยายาม ) จิตตะ ( ความเอาใจใส่ ) และวิมังสา ( การคิดใคร่ครวญ ทบทวน หาเหตุและผล ) ยังใช้ได้ดีเสมอ ไม่มีข้อจำกัด
2.พยายามใช้ภาษาต่างประเทศให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ การเรียนภาษาอังกฤษนั้นก็เพื่อจะนำไปใช้ เราจะใช้ได้ดีก็ต่อเมื่อเราได้ใช้บ่อยๆ ถึงแม้ว่าเราจะมีความรู้ในภาษาต่างประเทศเพียงเล็กน้อยในตอนต้น ถ้าเราใช้มันอยู่เสมอ ความรู้ของเราก็จะแน่นแฟ้นและโอกาสที่จะใช้ภาษาต่างประเทศได้คือ จงจำหลักการเรียนภาษาที่ว่า “Practice Most Learn Most ( ฝึกมาก เรียนรู้ได้มาก ) และ “Practice Less Learn Less” ( ฝึกน้อย เรียนรู้ได้น้อย )
- การอ่าน จงพยายามอ่านหนังสือที่เป็นภาษาต่างประเทศให้มาก ในขั้นต้นควรจะอ่านเรื่องที่ง่ายและสั้น แล้วค่อยอ่านเรื่องยาว และยากขึ้นตามลำดับ
- การฟัง จงหาโอกาสฟังให้มาก โดยฟังจากวิทยุ ทีวี วีดีโอ ภาพยนตร์ ในสมัยนี้ภาษาอังกฤษแพร่หลายมาก ถ้าจะหาโอกาสฟังจริง ๆ ย่อมไม่ยากนัก ในตอนต้นเราอาจจะฟังไม่เข้าใจ แต่เมื่อได้หัดบ่อยๆ เข้าเราจะฟังเข้าใจเพิ่มขึ้นนั่นเอง
- การเขียน การเขียนเรื่องราวเป็นภาษาต่างประเทศ จะช่วยให้ท่านเข้าใจภาษาต่างประเทศได้ดีขึ้น ในขั้นต้นเราควรจะหัดเขียนใจความสั้นๆ เมื่อเขียนเสร็จแล้วควรขอให้ผู้รู้ตรวจหรือลองตรวจสอบดูกับตำราภาษาต่างประเทศ
- การพูด การที่เราได้พูดภาษาต่างประเทศบ่อยๆ จะช่วยให้เราเรียนได้ง่ายขึ้น ถ้ามีโอกาสจงหัดพูดทันที อย่ามัวแต่อาย เพราะความอายหรือการขาดความมั่นใจเป็นอุปสรรคสำคัญในการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ
3.หัดคิดเป็นภาษาต่างประเทศ การที่เราจะใช้ภาษาต่างประเทศได้ดีนั้น เราจะต้องคุ้นเคยกับภาษานั้นถึงขนาดคิดเป็นภาษานั้นได้ อย่าพยายามแปลภาษาไทยเป็นภาษาต่างประเทศ จงหัดคิดเป็นภาษานั้นๆ ในขั้นต้นเราควรจะใช้ประโยคง่ายๆ เช่น “I am a boy” หรือ “She is a girl”, this is a dog เป็นต้น ต่อไปก็หัดคิดเป็นประโยคที่ยากๆ เช่น “I am the architech of my life”, “Philosophy is a search for higher knowledge” เป็นต้น
4.พยายามใช้พจนานุกรมภาษานั้นๆ ในตอนต้นเราอาจมีความจำเป็นต้องใช้พจนานุกรมอังกฤษ-ไทย หรือ ไทย-อังกฤษ เมื่อเราอ่านออกได้มากพอสมควรแล้วเราควรจะลดการใช้และมาใช้พจนานุกรมภาษาอังกฤษล้วนๆ เมื่อลงมือใช้พจนานุกรมนี้ใหม่ๆ เราอาจจะได้ความลำบากในการค้นหาคำศัพท์ อย่าเพิ่งท้อแท้พยายามต่อไปไม่นานนักก็จะคุ้น และจะมีความรู้ภาษาต่างประเทศได้ดีขึ้น
5.อ่านเรื่องที่เราทราบดีอยู่แล้วจากบทความที่เป็นภาษาต่างประเทศ จงอ่านเรื่องเหล่านั้นดูจะเห็นว่าเราอ่านเรื่องเหล่านั้นออกทั้งๆที่ไม่รู้จักศัพท์ที่ใช้ทั้งหมด อีกอย่างหนึ่ง การอ่านเรื่องชนิดนี้ทำให้เราซาบซึ้งในภาษาต่างประเทศได้เร็วยิ่งขึ้น
6.หลีกเลี่ยงการแปล การเรียนโดยการแปลภาษาต่างประเทศเป็นภาษาไทยหรือแปลภาษาไทยเป็นภาษาต่างประเทศนั้น ทำให้เรียนได้ช้า เพราะลักษณะของภาษาไทยกับภาษาต่างประเทศนั้นแตกต่างกัน ถ้าเราพยายามแปลกลับไปกลับมาแล้ว โอกาสที่เราจะได้ใช้ภาษาต่างประเทศล้วนๆ ย่อมน้อยลงเพราะมัวแต่พวงเรื่องการแปล
7.ท่องจำให้มาก วิธีการเรียนภาษาต่างประเทศให้ได้ผลดีนั้นหลีกเลี่ยงการท่องจำไม่พ้น จงอย่าลืมที่นักปรัชญาโบราณสอนไว้ว่า “ความจำเป็นพื้นฐานของความรู้ทั้งหมดหากไม่มีความจำเสียแล้วเราจะเรียนรู้อะไรไม่ได้เลย” เวลาท่องเราควรท่องเป็นประโยค ไม่ควรท่องเป็นคำๆ การท่องทั้งประโยคจะได้ผลสองอย่างคือ -ทำให้การท่องมีความหมายและสนุกมากขึ้น
- ได้ฝึกการพูดประโยคภาษาต่างประเทศไปด้วยในตัว
8.เรียนรู้และฝึกฝนด้วยวิธีการหลายๆอย่าง ทักษะในด้านภาษามีทั้ง การพูด การฟัง การเขียน และการอ่าน เวลาเรียนภาษาต่างประเทศต้องใช้ทักษะทั้ง 4 นี้ อย่าเรียนโดยใช้วิธีใดวิธีหนึ่งแต่เพียงวิธีเดียว จะทำให้ทักษะทางภาษาของเราจำกัดและทำให้การศึกษาในขั้นต่อไปลำบาก
9.หมั้นทบทวนความรู้ที่เรียนมาแล้วและค้นคว้าเพิ่มพูนความรู้ทางด้านภาษาอังกฤษอย่างสม่ำเสมอ

เคล็ดลับการเรียนภาษาต่างประเทศให้ประสบผลสำเร็จ
1.ต้องคิดเสมอว่าฉันทำได้
2.ตั้งเป้าหมายในการเรียนให้ชัดเจน
3.อย่ากังวลว่าตัวเองเรียนไม่เก่ง
4.อยากเก่งต้องสู้
5.ค้นหาการเรียนที่เป็นแบบฉบับของตัวเอง
6.ใช้สมองอย่างสมดุล
7.อย่ายึดติดรูปแบบของภาษาแม่จนเกินไป
8.จำไว้เสมอว่าข้อผิดพลาดเป็นบทเรียนที่ดี
9.เข้าเป็นสมาชิกชมรมหรือกลุ่มสาขาภาษาที่ตัวเองสนใจ
10.เรียนรู้วัฒนธรรมของเจ้าของภาษา
11.เล่นเกมส์การเรียนภาษา
12.ใช้มุมมองที่กว้าง อย่าเสียเวลากับรายละเอียดปลีกย่อยมากจนเกินไป
13.เมื่อมีโอกาสต้องใช้ภาษาที่เรียนมาให้ได้
หวังว่าคำแนะนำต่างๆที่นำมาเสนอเพื่อการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศข้างบนนี้ คงจะอำนวยประโยชน์ให้แก่คนไทยที่สนใจและกำลังจะสนใจเอาจริงเอาจังกับการเรียนภาษาต่างประเทศ บ้างไม่มากก็น้อย แต่ขออย่าลืมพุทธสุภาษิตที่ว่า “อัตตาหิ อัตตโน นาโถ-เราต้องช่วยตัววเราเอง” ก็แล้วกัน เพราะการเรียนรู้ทุกอย่างมักจะเริ่มต้นและจบที่ตัวผู้เรียนเองเสมอ.